วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประวัติส่วนตัว

   ประวัติส่วนตัว


ชื่อ เอกฉัตร นามสกุล สัมมาพล ชื่อเล่น แคนน่อล
โรงเรียนพระนารายณ์ ชั้น ม.6/6 เลขที่ 8
วันเกิด : 22/06/2539
ชอบสี : ฟ้า
อาหารที่ชอบกิน : ผัดไทย




การศัลยกรรม

ความรู้เรื่องศัลยกรรม


ในนามของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซต์ของสมาคมฯ ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งปรับปรุงให้ทันสมัยที่และเพียบพร้อมด้วยความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับศัลยกรรมตกแต่งเพื่อการเสริมสวยโดยเฉพาะ รวมทั้งจะมีศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีความรู้ ความชำนาญที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ มาให้ความรู้ ความกระจ่างในข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความสวยงาม แก่ท่านโดยตรง อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและประสบการณ์ที่สะสมมาสมาชิกของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทยทุกท่าน จะต้องผ่านการฝึกอบรมทางด้านศัลยกรรมตกแต่งมาอย่างครบถ้วน ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ทุกท่านจะต้องผ่านการสอบให้ได้รับวุฒิบัตร หนังสืออนุมัติ เป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญทางด้านศัลยกรรมตกแต่งของแพทยสภา มิเพียงเท่านั้น จะต้องผ่านการปฏิบัติงานอีกอย่างน้อย 2 ปี จึงจะมีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทยได้ ซึ่งท่านสามารถจะตรวจเช็ครายชื่อได้ที่เวปนี้ ซึ่งจะปรากฏที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อแพทย์เหล่านั้นได้โดยตรง
ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจเกี่ยวกับศัลยกรรมตกแต่งเสริมสวยกันมากขึ้น อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต  เราคงต้องรับความจริงว่าในปัจจุบันมีแพทย์ในหลายๆสาขาจำนวนไม่น้อยที่หันเห มาทำงานด้านศัลยกรรมตกแต่งด้านความงามกันมาก ดังนั้น เว็บไซต์ของสมาคมฯ น่าจะพอช่วยให้ท่านได้มีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกศัลยแพทย์ที่มีความรู้ ความสามารถ ที่ได้รับการฝึกอบรมมาทางด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยตรง เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมได้เป็นอย่างดี
ศัลยแพทย์ตกแต่งที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ทุกท่านจะต้องผ่านการฝึกอบรมด้านศัลยกรรมตกแต่งเพื่อการเสริมสร้างและนำความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในศัลยกรรมตกแต่งเสริมสวย เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด และลดอัตราการเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์หรือแทรกซ้อนให้น้อยที่สุด ซึ่งแพทย์ที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ เหล่านี้ เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ รักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพ และคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถ
ขอให้ทุกท่านตระหนักไว้ว่า การผ่าตัดศัลยกรรมทุกอย่างมีความเสี่ยง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ทุกเมื่อ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับความปลอดภัยและผลการรักษาออกมาดี ท่านจะต้องทำ “การบ้าน” ก่อนซึ่งจะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ
  1. ตัวผู้รับบริการหรือคนไข้ รวมทั้งสุขภาพของท่านเอง
  2. ชนิดของศัลยกรรมที่ท่านเลือก
  3. ศัลยแพทย์ที่ท่านเลือก
  4. สถานที่ที่ท่านได้รับการดูแลรักษาผ่าตัด ไม่ว่าคลินิก หรือโรงพยาบาล

1.ในส่วนของผู้รับบริการหรือคนไข้ของท่าน

จะต้องมีร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์ เปิดเผยประวัติทางการแพทย์ เช่น ประวัติแพ้ยา, โรคประจำตัว, ยาที่ทานประจำ รวมทั้งยาสมุนไพรต่าง ๆ พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่, การดื่มสุรา ฯลฯ รายละเอียดการผ่าตัดที่เคยทำมาก่อนในอดีต ฯลฯ ให้ศัลยแพทย์ของท่านทราบ เพื่อที่ศัลยแพทย์จะได้ประเมินความเสี่ยง และเลือกชนิดการผ่าตัดที่เหมาะสมให้กับท่าน

2. ชนิดของศัลยกรรม

มีส่วนในแง่ของความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เช่น การผ่าตัดดึงหน้าในผู้ป่วยที่มีประวัติการสูบบุหรี่ ย่อมมีความเสี่ยงที่อาจทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้ผิวหนังตาย..แผลไม่ติดฯลฯ อันมีผลจากสารนิโคตินในบุหรี่ ซึ่งก็จะเสี่ยงกว่าการผ่าตัดทำตาสองชั้น เป็นต้น

3. ความรู้ ความสามารถและทักษะของศัลยแพทย์

เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่จะมีผลต่อผลที่ออกมา ผลการทำศัลยกรรม ลดอัตราความเสี่ยงต่อผลแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะต้องมีแนวทางการรักษาแก้ไขที่ถูกต้องด้วย การทำผ่าตัดจะต้องทำโดยศัลยแพทย์นั้น ๆ มิใช่ผู้ทำแทนหรือโดยเจ้าหน้าที่คลินิกซึ่งถือว่าไม่ปลอดภัย
มีไม่กี่ประเทศมีกฎข้อบังคับชัดเจนว่า แพทย์ใดบ้างที่จะเรียกตัวเองว่า”ศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวย” บางประเทศมีกฎข้อบังคับละเอียดลงไปว่า แพทย์และสถานที่แบบใดบ้างที่อนุญาตให้ทำศัลยกรรมเสริมสวยได้ ในขณะอีกหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย ผู้ที่จบแพทยศาสตร์บัณฑิต สามารถทำผ่าตัดได้ทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องเรียนหรือฝึกอบรมมาทางด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยตรงก็ทำได้ โดยสามารถจะทำผ่าตัดในคลินิกเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน, ไม่สะอาด, เครื่องมือไม่พร้อมได้
สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ท่านจะต้องคิดไตร่ตรองให้ดี ท่านควรเลือกศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยที่ได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง จากแพทยสภา และทำผ่าตัดในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่สะอาด มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือครบครัน และเป็นผู้ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ท่านอาจจะสังเกตได้จากตราสัญลักษณ์ของสมาคมฯ ทั้งสอง คือ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทยและตราของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งและเสริมสร้างแห่งประเทศไทย
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่ท่านควรทราบ คือ แพทย์หรือสถานที่ที่โฆษณาเชิญชวนให้ท่านทำผ่าตัดต่างๆนาๆ ท่านควรถอยออกมา 1 ก้าว ใช้ความคิด ตั้งสติ ไตร่ตรองด้วยตัวท่านเอง ว่าทำไมต้องโฆษณาเชิญชวนให้ได้คนไข้ใหม่ ๆ อยู่เรื่อยไป แล้วคนไข้เก่าที่ทำไปหายไปไหนหมด ถ้าผลการผ่าตัดนั้นได้ผลดีจริง คนไข้เหล่านี้ก็จะบอกต่อปากต่อปากไปเอง แค่บอกต่อ หนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด ฯลฯ ก็มีคนไข้เพิ่มมากแล้ว
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือ ความรู้ขั้นพื้นฐานที่ท่านจะต้องคำนึงให้มาก เพื่อความปลอดภัย ความพอใจ และผลสำเร็จของการทำผ่าตัดของตัวท่านเอง ถ้าท่านยังมีข้อสงสัยก็สามารถจะส่ง E mail เข้ามาถามได้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ จะทยอยตอบคำถามให้ท่าน
หวังว่าท่านคงจะได้รับความรู้ ความสุข สมหวัง จากการทำ”ศัลยกรรมตกแต่งเสริมสวย” ตามที่ท่านตั้งใจไว้ทุกประการ


วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สารปรอท

                                                   อันตรายจากปรอท
 ปรอทเป็นโลหะสีขาวคล้ายเงิน เป็นของเหลวที่อุณหภูมิปกติ สามารถทำให้เป็นของแข็งได้แต่เปราะที่อุณหภูมิปกติ ปรอทสามารถระเหยกลายเป็นไอได้ ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ง่ายขึ้น

ประโยชน์ของปรอท
      - ใช้ในการทำเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่น เทอร์โมมิเตอร์ บารอมิเตอร์ ปั๊มดูดอากาศ และเครื่องมือที่ใช้วัดความดันโลหิต
      - ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า เช่น สวิตช์อัตโนมัติสำหรับตู้เย็นและไฟฟ้ากระแสตรง
      - สารประกอบของปรอทใช้ในการทำวัตถุระเบิด
      - ซัลไฟด์ของปรอทใช้ทำสีแดงในอุตสาหกรรมเครื่องเคลือบดินเผา
      - ออกไซด์ของปรอทใช้ในการทำสี เพื่อป้องกันมิให้แตกและลอกง่าย สำหรับนำไปใช้ทาใต้ท้องเรือ
      - ปรอทเป็นตัวทำละลายที่ดีสำหรับโลหะบางชนิด สารละลายที่ได้เรียกว่าอะมาลกัม ดีบุกอะมาลกัมใช้ในการทำกระจกเงา เงิน-ดีบุกอะมาลกัมใช้เป็นวัสดุในการอุดฟัน โดยผสมปรอทกับโลหะผมระหว่างเงินกับดีบุก
      - ใช้ในอุตสาหกรรมทำหมวกสักหลาด

การเข้าสู่ร่างกาย

      ปรอทสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง เช่นเดียวกับสารพิษชนิดอื่นๆ คือ
      1.ทางปาก โดยสูดเอาผง หรือไอปรอทเข้าสู่ปอด เนื่องจากปรอทสามารถระเหยกลายเป็นไอได้ง่าย
      2.ทางปาก โดยการรับประทานเข้าไป มักเกิดจากอุบัติเหตุปะปนกับอาหารหรือน้ำดื่ม
      3.ทางผิวหนัง โดยการดูดซึม ไอระเหยหรือฝุ่นละอองของปรอททำให้ผิวหนังระคายเคืองเกิดโรคผิวหนังได้
พิษของปรอท

      ปรอทจะทำอันตรายต่อร่างกายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับเหตุการณ์และปัจจัยดังนี้
      1.ทางที่พิษเข้าสู่ร่างกาย เช่น ทางผิวหนัง ทางระบบหายใจ หรือทางระบบย่อยอาหาร
      2.ปริมาณที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย
      3.ชนิดของสารปรอทที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายและอวัยวะส่วนใดของร่างกายที่ได้รับพิษของปรอทในรูปเมทธิลหรืออัลคิล เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มีพิษมากที่สุด
อาการพิษเกิดจากปรอท

      การเกิดพิษจากสารปรอทมีทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง พิษชนิดเฉียบพลันมักเกิดจากอุบัติเหตุโดยการกลืนกินสารปรอทเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งปริมาณปกติที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายและทำให้คนตายได้ โดยเฉลี่ยประมาณ 0.02 กรัม อาการที่เกิดจากการกลืนกินปรอท คือ
      -อาเจียน ปากพอง แดงไหม้ อักเสบและเนื้อเยื่ออาจหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ
      -เลือดออก ปวดท้องอย่างแรง เนื่องจากปรอทกัดระบบทางเดินอาหาร
      -มีอาการท้องร่วงอย่างแรง อุจจาระเป็นเลือด
      -เป็นลม สลบเนื่องจากร่างกายเสียเลือดมาก
      -เมื่อเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต ปรอทจะไปทำลายไต ทำให้ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือด
      -ตายในที่สุด
พิษชนิดเรื้อรัง

      ปรอทเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปทำอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งได้แก่ สมอง และไขสันหลัง ทำให้เสียการควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแขน ขา การพูด และยังทำให้ระบบประสาทรับความรู้สึกเสียไป เช่น การได้ยิน การมองเห็น ซึ่งอันตรายเหล่านี้ เมื่อเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้กลับดีดังเดิมได้ อาการที่เป็นพิษมากเกิดจากการหายใจ ปอดอักเสบ มีอาการเจ็บหน้าอก มีไข้ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกและตายได้
การป้องกันอันตรายจากปรอท

      -ใช้สารอื่นที่เป็นพิษน้อยกว่าแทนสารปรอท เช่น ใช้สารแอมโมเนียของเงินแทนสารประกอบของปรอทในการทำกระจกเงา
      -ในกรณีที่มีการรั่วของปรอทให้นำภาชนะที่มีน้ำมารองรับเพื่อป้องกันการระเหยของปรอท
      -สวมเสื้อคลุมและถุงมือ เมื่อต้องจับหรือสัมผัสปรอท
      -จัดให้มีการระบายอากาศในบริเวณที่ต้องใช้ปรอทเพื่อดูดเอาไอของปรอทที่กระจายอยู่ในบรรยากาศออกไปและทำการกักเก็บมิให้ฟุ้งกระจายไปยังที่อื่น เพื่อให้อากาศในบริเวณพื้นที่ใช้งานบริสุทธิ์ หรือควรมีการกำจัดปรอทอินทรีย์จากโรงงานอุตสาหกรรมที่ถูกต้อง
      -ตรวจสอบหาปริมาณของปรอทในบรรยากาศบริเวณใช้งานให้อยู่ในมาตรฐานที่ควบคุมอยู่เสมอ
      -สารปรอทและสารประกอบของปรอทควรเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันการระเหยของปรอท
      ตัวอย่างเหตุการณ์พิษจากปรอท เช่น โรคมินามาตะ ในปี ค.ศ.1959 เป็นภาวะมลพิษที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งชื่อ โรคมินามาตะ มาจากชื่อของหมู่บ้านเล็กๆบนเกาะทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นชาวประมง แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตปุ๋ยเคมี และสารเคมีชื่อว่า บริษัทนิปปอนชิมโสะ คนในหมู่บ้านส่วนหนึ่งทำงานอยู่ในโรงงานนี้ ต่อมาเกิดโรคประหลาดขึ้นกับคนในหมู่บ้านแห่งนี้จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เมื่อมีผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการเดิน เซ ไม่สามารถยืนได้ด้วยด้วยเอง ชาตามแขนขา หูตึง มองเห็นภาพแคบลง พูดไม่ชัด มือสั่น กลืนอาหารลำบาก บางครั้งจะแสดงอาการคลุ้มคลั่ง และมักจะส่งเสียงดังตะโกนคล้ายคนบ้าตลอดเวลา มีอาการนอนไม่หลับ ชักบ่อยๆ แขนขาบิดเบี้ยวคล้ายคนพิการ เพราะกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกายทำงานไม่ประสานกัน อาการทุกอย่างจะรุนแรงขึ้นและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคอะไร และจากการสังเกตเห็นความผิดปกติของสัตว์บริเวณนั้น คือ ปลาว่ายน้ำแบบนอนหงายท้องขึ้นและว่ายน้ำช้าลงจนามารถจับได้ด้วยมือเปล่า นกทะเลว่ายน้ำจะบินดิ่งหัวตกทะเล แมวซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านก็มีอาการเซ น้ำลายไหล ชัก และตายในเวลาต่อมาจึงเรียกอาการดังกล่าวว่า "โรคแมวเต้น" ดังนั้นจึงสันนิษฐานกันว่าโรคนี้น่าจะเกิดจากสารเคมี ที่สะสมอยู่ในสัตว์ทะเล และเมื่อคนรับประทานอาหารทะเลเข้าไป ก็จะส่งผลกับร่างกาย หลังจากได้มีการทดลองกับสัตว์และคน ผลที่ได้สามารถสรุปได้ตามที่สันนิษฐานไว้ ในเวลาต่อมาได้มีการนำดินจากบริเวณที่ทิ้งน้ำเสียของโรงงานมาตรวจ พบว่ามีสารปรอทอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งตรงกับการตรวจพบสารปรอทในอวัยวะส่วนต่างๆ ของผู้ป่วยที่ตายจึงสามารถสรุปได้ว่า โรคมินามาตะ เกิดจากผู้ป่วยได้รับสารปรอทอินทรีย์ที่เกิดจากโรงงานปล่อยน้ำเสียที่มีสารปรอทปนเปื้อนดังที่กล่าวมา โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากสารปรอทได้เข้าทำลายระบบประสาท และสมอง นอกจากนี้ยังมีผลต่อทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา กล่าวคือ มารดาที่รับประทานอาหารทะเลที่ปนเปื้อนสารปรอทเข้าไปแล้ว สารปรอทจะผ่านไปทางรกเข้าสู่สมองเด็ก ทำให้เด็กที่เกิดมามีอาการพิการทางสมองตั้งแต่เกิด เด็กจะมีอาการปัญญาอ่อน

      รัฐบาลญี่ปุ่นได้นำประสบการณ์ที่ขมขื่นจาดโรคมินามาตะ มาเป็นพื้นฐานในการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ทั้งนี้ความสูญเสียอย่างมหาศาลที่เกิดขึ้น เพราะการพัฒนาประเทศได้มั่งเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมทำให้ไม่เพียงสูญเสียชีวิตมนุษย์แต่ยังทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ที่พักเมาดรีฟ

เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ 10 สวรรค์บนดินที่มีอยู่จริง

เมาดีฟ สถานที่ที่ใครหลายๆคนเรียกว่า “สวรรค์บนดิน” เนื่องจากความสวยงามอันหาที่่เปรียบไม่ได้ของธรรมชาติทางทะเล แถมยังเป็นสถานที่หมายปองของการมาฮันนูมูนของคู่รัก ซึ่งจากความสวยงามของหาดทรายขาว น้ำทะเลใสสีน้ำเงิน เขียว, สัตว์น้ำแปลกตา หายาก, และรีสอร์ทสุดหรูที่สร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มความสวยงามและบริการแก่นักท่องเที่ยว จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเกาะแห่งนี้เป็นสวรรค์ของนักเดินทาง
ข้อมูลน่ารู้ทั่วไปของเมาดีฟ – มีความยาวจากเหนือจนถึงทางใต้ 821 กิโลเมตร และจากตะวันออกไปตะวันตก 120 กิโลเมตร ซึ่งที่นี่มีพื้นที่ส่วนมากเป็นทะเล มีพื้นที่ที่เป็นแผ่นดินเพียง 300 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น และมีจุดที่สูงที่สุดแค่ 2.3 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีหมู่เกาะปะการังจำนวน 26 หมู่เกาะ (atoll) และมีเกาะเล็กๆใน atoll ทั้งหมดรวม 1,190 เกาะ มีรีสอร์ทสำหรับนักท่องเที่ยว 74 เกาะ และมีประชากรอาศัยอยู่เพียง 74 เกาะเท่านั้น
ลิสท์ต่อไปนี้เป็น 10 สุดยอดที่พักมัลดีฟ ซึ่งแต่ละที่หรูอลังการสุดๆ ซึ่งราคาก็แพงตามความหรูไปด้วย (มากกว่า 5000 ดอลลาสหรัฐ หรือ 150,000 บาท ต่อคืน >.<) แต่ก็คุ้มค่าที่จะไปลองซักครั้งในชีวิต กับประสบการณ์วันหยุดบนทะเลที่ขึ้นชื่อได้ว่าสวยที่สุดในโลก แต่เตือนไว้ก่อนนะครับว่า ถ้าได้มาลองพักในที่พักมัลดีฟสุดหรูเหล่านี้แล้ว อาจจะติดใจจนไปอยากไปเที่ยวที่อื่นเลยแหละ

10. SIX SENSES LAAMU


SIX SENSES LAAMU เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ
Six Senses Laamu รีสอร์ทที่พักสุดหรูที่สร้างด้วยคอนเซ็ปที่ทำให้กลมกลืนกับความสวยงามทางธรรมชาติของเกาะ ซึ่งที่นี่เป็นรีสอร์ทแห่งเดียวของเกาะ Laamu ด้วย การเดินทางมาที่นี่ต้องอาศัยการนั่งเครื่องบินเรือมาจากมาเล่ แล้วต่อด้วยนั่งเรืออีกเพียงอึดใจ ก็จะได้มาถึงรีสอร์ทสุดหรูที่คุณจะได้นอนดูปลาโลมาแหวกว่ายอยู่ข้างๆห้องนอน . . . รีสอร์ทแห่งนี้ผสมพสานระหว่างวิลล่าทั้งบนเกาะและยาวออกไปในทะเล สิ่งปลูกสร้างที่นี่ถูกจัดวางอย่างลงตัวและสร้างด้วยวัสดุที่คงทนแต่รักษาธรรมชาติ eco-friendly ไปในตัว . . . ภายในรีสอร์ทมีเลาจ์และร้านอาหารอยู่หลายร้าน รวมถึงเชฟหลายคนที่ชำนาญการทำอาหารแสนอร่อยทั้งในแบบตะวันตกและตะวันออก ทำให้เป็นจุดเด่นอีกอย่างของรีสอร์ทแห่งนี้ แถมเชฟที่นี่เขายังบอกอีกด้วยนะว่า ส่วนประกอบอาหารส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่ปลูกในเกาะแห่งนี้นี่แหละ !! ไปเมาดีฟกันเถอะ

9. HUVAFEN FUSHI


HUVAFEN FUSHI เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ
โรงแรมหรู Huvafen Fushi เป็นหนึ่งในโรงแรมที่มาบุกเบิกที่นี่ตั้งแต่ยุคที่มัลดีฟยังไม่เป็นที่นิยมมากเท่าสมัยนี้ โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในเกาะที่มีน้ำใสจนน่าปะหลาดใจ พร้อมด้วยหาดทรายสีขาวดั่งปุยนุ่น แถมปะการังในแถบโรงแรมแห่งนี้ยังขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในบรรดาหมู่เกาะต่างๆของเมาดีฟเลยด้วย . . . นอกจากนั้นสระว่ายน้ำของที่นี่ยังยื่นออกไปถึงตัวทะเล ทำให้ได้บรรยากาศที่แปลกตา สวยแบบสุดๆ . . . ในยามค่ำคืนที่นี่จะเปิดไฟสว่างสไว สะท้อนตัดกับแสงของดาวยามราตรี ทำให้บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ นอกจากนั้นที่โรงแรม Huvafen Fushi ยังมี spa ใต้น้ำเป็นที่แรกของโลกอีกด้วย

8. SHANGRI-LA VILLINGILI เมาดีฟ


SHANGRI-LA VILLINGILI เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ
ที่มัลดีฟ โรงแรมต่างๆตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวในภูมิทัศน์ที่สวยงามกันทุกโรงแรม อาจจะทำให้ยากต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกไปพักที่ไหนดี . . . ที่ Shangri-La Villingili โดดเด่นกว่าโรงแรมหรือรีสอร์ทอื่นๆ ด้วยขนาดที่ใหญ่ (ใหญ่ที่สุดในรีสอร์ททั้งหมดในเมาดีฟ) รีสอร์ทแห่งนี้ดำเนินการด้วยโรงแรมแบรนด์ดังจากเอเชีย ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดในหมู่เกาะปะการัง Addu . . . มี 132 ห้องพักสุดสวยทั้งในน้ำและบนหาดทราย รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันอย่าง spa สุดหรู คอร์ทเทนนิส และสนามกอล์ฟด้วย

7. COMO MAALIFUSHI


COMO MAALIFUSHI เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ
Maalifushi โดย COMO เป็นรีสอร์ทหรูแห่งแรกที่เปิดในเกาะ Thaa ที่อยู่ทางหมู่เกาะตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งในบรรดาโรงแรมของเมาดีฟ รีสอร์ท Maalifushi มีความโดดเด่นเหนือรีสอร์ทอื่นๆ ด้วยดีไซน์ที่แปลกตา ไม่เหมือนใคร . . . บรรยากาศของรีสอร์ทแห่งนี้หลอมรวมความสวยงามของทะเลเมาดีฟและรีสอร์ทสุดหรูแห่งนี้เป็นหนึ่งเดียว อย่างลงตัว . . . นอกจากความสวยงามของตัวรีสอร์ทแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสุดหรูอื่นๆ เช่น สปาหรูจาก COMO Shambhala, โยคะคลาสระดับ World Class, ร้านอาหารสุดหรู รสชาติเป็นเลิศ ซึ่งที่ Maalifushi คุณจะได้เห็นสัตว์น้ำนานาพันธุ์มาแหวกว่ายระหว่างที่คุณรับประทานอาหารค่ำอีกด้วย . . . ด้วย 33 ที่พักเหนือน้ำและในสวนที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ทำให้รีสอร์ทแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งรีสอร์ทที่เป็นสวรรค์ของ คู่รัก, นักเซิฟ และ นักดำน้ำ ที่อยากสัมผัสสวรรค์บนดินที่เกาะมัลดีฟ

6. PARK HYATT MALDIVES HADAHAA เมาดีฟ


PARK HYATT MALDIVES HADAHAA เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ

รีสอร์ท Park Hyatt Maldives Hadahaa ตั้งอยู่บนเกาะส่วนตัว บนหมู่เกาะปะการังที่ใหญ่และมีความลึกที่สุดในโลกอย่าง North Huvudhoo . . . รีสอร์ทแห่งนี้ถูกออกแบบด้วยดีไซน์แบบโมเดิร์น ดูทันสมัย เก๋สุดๆ ซึ่งมีที่พักกว่า 50 หลัง ทั้งบนบกและยื่นออกไปกลางน้ำ ทุกสัดส่วนถูกออกแบบด้วยแนวคิดที่จะให้ลูกค้า สัมผัสประสบการณ์สุดหรูพร้อมด้วยความสะดวกสบายไปในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นที่พักบนบก หรือในน้ำ มีดีไซน์สวยหรูและสะดวกสบายสุดๆ … ดีไซน์เก๋ๆของที่นี่นั้น ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า เป็นดีไซน์สไตล์ Minimalist กระจกบานใหญ่ความยาวตั้งแต่พื้นถึงเพดานดูโปล่ง มองออกไปได้อย่างทั่วถึง นอกจากนั้นที่พัก Park Pool Villas ยังเพิ่มความหรูหราขึ้นอีกระดับด้วยสระว่ายน้ำส่วนตัว ใครมีตังเหลือๆ แล้วชอบความหรูหราสไตล์โมเดิร์นลองมาที่รีสอร์ทแห่งนี้ดูครับ

5. FOUR SEASONS LANDAA GIRAAVARU


FOUR SEASONS LANDAA GIRAAVARU เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ
ด้วยที่พักหรูกว่า 103 แห่ง กระจายกันในเขตป่าในหมู่เกะปะการัง Baa ซึ่งเป็นเขตสงวนชีวมณฑลขององการค์ UNESCO รีสอร์ท Four Seasons Landaa Giraavaru ผสมผสานบริการระดับพรีเมี่ยม, สิ่งอำนวยความสะดวกระดับห้าดาว และห้องอาหารระดับโลก เข้าไว้ด้วยกัน บวกด้วยการเพิ่มประสบการณ์ความประทับใจใหม่ๆให้กับผู้ที่มาพักทุกคน . . . นอกจากนั้นรีสอร์ทแห่งนี้ยังเป็นเจ้าของเกาะ Kuda Huraa ที่อยู่ไปทางใต้ไม่ไกลนัก ซึ่งเป็นเกาะที่สวยงามเหมาะแก่การผักผ่อนเล่นน้ำ และเล่นเซิร์ฟเป็นที่สุด . . . ซึ่งการเดินทางจากเกาะไปอีกเกาะ เดินทางได้ด้วย เรือ catamaran ส่วนตัวของทางรีสอร์ทที่เอาไว้ให้บริการลูกค้าคนพิเศษเช่นคุณ (ที่สำคัญ ทะเล ตลอดทางที่เรือแล่นจากเกาะไปอีกเกาะนั้น มีจุดดำน้ำดูปะการังสุดสวย, เกาะเล็กๆ หรือ จุดที่พักสุดสวยๆ ตลอดทาง)

4. GILI LANKANFUSHI


GILI LANKANFUSHI เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ
รีสอร์ท Gili Lankanfushi (บางคนเรียก Soneva Gili) ตั้งอยู่ในเกาะส่วนตัว Lankanfushi ในหมู่เกาะปะการังมาเล่ตอนเหนือ รีสอร์ทแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากสนามบินนานาชาติมาเล่ (สนามบินในเมืองหลวงของมัลดีฟ) นั่งสปีดโบ็ท 20 นาทีก็มาถึงแล้ว . . . ด้วย 45 ห้องพักขนาดกว้างขวาง กลางแนวปะการังสวยที่ ทุกๆห้องพักถูกออกแบบโดยเน้นเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเป็นพิเศษ และ สร้างโดยคำนึงถึงเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อมเป็นหลัก . . . ห้องพักที่รีสอร์ทแห่งนี้จะทำให้คุณได้เสมือนไปอาศัยอยู่ในป่าที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมทั้งห้องน้ำที่จะต้องเดินผ่านทางเดินโปล่ง แสงแดด แสงจันทร์ ส่องลงมาได้ถึงห้องน้ำ ทำให้ได้บรรยากาศแบบธรรมชาติสุดๆ

3. VELAA PRIVATE ISLAND ที่พักมัลดีฟ


VELAA PRIVATE ISLAND เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ
รีสอร์ทสุดหรูแห่งหมู่เกาะปะการัง Noonu ด้วย 45 ห้องพักสระน้ำสุดหรู และ การบริการที่เหนือชั้นของรีสอร์ท Velaa Private Island ทำให้ติดอันดับ 10 ที่พักมัลดีฟที่ดีที่สุดไปสบายๆ ซึ่งห้องอาหารของที่นี่ยังมีเชฟระดับ Michelin Star และห้องไวน์ที่คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศการดื่มไวน์กลางน้ำทะเลของมัลดีฟ . . . นอกจากนั้นยังมีเรือดำน้ำส่วนตัวของรีสอร์ทเอาไว้บริการลูกค้าอีกด้วย . . .  Spa ของที่นี่ยังถูกออกแบบและสร้างโดยแบรนด์สปาชื่อดังของโลกอย่าง My Blend By Clarin ยังไม่พอครับ ยังมีโรงเรียนกอล์ฟระยะสั้นที่ออกแบบโดย นักกอล์ฟระดับแชมป์รายการมาสเตอร์สองสมัยอย่าง Jose Maria Olazabal อีกด้วย ทำให้ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่พักมัลดีฟที่แพงที่สุดในปัจจุบัน

2. CHEVAL BLANC RANDHELI


CHEVAL BLANC RANDHELI เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ
รีสอร์ท Cheval Blanc Randheli รีสอร์ทแบรนด์ฝรั่งเศสที่มี 46 ห้องพักสุดหรูทั้งบนตัวเกาะ ในน้ำ และในสวน . . . ออกแบบด้วยโทนสีธรรมชาติ ดูโปร่ง เน้นเนื้อที่ให้ดูกว้างขวาง สบาย โดยทุกๆห้องพักนั้นออกแบบอย่างทันสมัย ประตูและเพดานสูง พื้นที่ภายนอกที่ออกแบบมาให้ผู้มาพักผ่อนคลายอย่างแท้จริง โดยเฉพาะระเบียงที่มีสระว่ายน้ำ มีความยาว 12.5 เมตร เป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ยื่นออกไปกลางน้ำทะเล >.< . . . ที่สปาของ Cheval Blanc ให้บริการคอร์สสปาสุดพิเศษจากแบรนด์ดัง Guerlain แถมยังมีร้านเสริมสวยจากแบรนด์ Leonor Greyl ซึ่งก็เป็นแบรนด์เสริมสวยชื่อดัง ราคาแพงหูฉี่จากฝรั่งเศสอีกเช่นกัน ใครเป็นไฮโซก็ลองไปพักกันดูนะครับ (สำหรับผมชาตินี้เก็บเงินทั้งชาติยังไม่รู้จะได้นอนซักคืนหรือเปล่าเลย)

1. ONE&ONLY REETHI RAH ที่พักมัลดีฟ


ONE&ONLY REETHI RAH เมาดีฟ ที่พักมัลดีฟ
สุดยอดแห่งความหรูหราในมนตราแห่งธรรมชาติเขตร้อนอย่างแท้จริง One&Only Reethi Rah เป็นเพชรน้ำงามของบรรดาที่พักมัลดีฟทั้งหมด ตั้งอยู่ที่เกาะ Coral . . . รีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะส่วนตัว พร้อมด้วย 130 ที่พักส่วนตัวที่ตั้งอยู่แยกกันอย่างลงตัว . . . การดีไซน์ออกแบบอย่างสวยงามทันสมัย ภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน รีสอร์ทขนาดใหญ่แห่งนี้มีหาดทรายขาวแสนสวยอยู่ภายในบริเวณรีสอร์ทรวมกันถึง 12 หาดด้วย ซึ่งบางหาดถูกสร้างขึ้นมาจากมนุษย์ (แต่สร้างได้เหมือนธรรมชาติมาก) หากใครมีสตางค์เหลือ แบบคิดว่าชาตินี้คงใช้ไม่หมด แนะนำให้มาที่นี่ดูซักครั้งก่อนตายครับ จะได้รู้ว่าสวรรค์บนดินนั้นมีอยู่จริง

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สถานที่ท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่ต้องไปเที่ยว

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


           อยู่เมืองไทยในช่วงนี้มันรู้สึกร้อนแสนร้อน หลายคนคงกำลังวางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวหลบร้อนกันหลายประเทศ ซึ่งหนึ่งในตัวเลือกนั้นต้องเป็นดินแดนอาทิตย์อุทัย ต้นกำเนิดดอกซากุระอย่าง"ประเทศญี่ปุ่น" แน่นอน เพราะด้วยอากาศที่เย็นสบาย รวมทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่างจากบ้านเรา ทำให้ญี่ปุ่นเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่หลายคนคิดอยากจะเดินทางไปเยือน วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยมาแนะนำ 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เรียกว่าถ้าไปแล้วไม่ได้เที่ยวถือว่าไม่ถึงจ้า ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวจะมีอะไรบ้างนั้น ตามเราเลยจ้า... (สามารถดู ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นสำหรับการเที่ยวญี่ปุ่น เพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ)


        

           1. พระราชวังอิมพีเรียล
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

           พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีกหนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน

           ซึ่งภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ


           2. โตเกียว ทาวเวอร์

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

           โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย

            3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

            ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า "กัสโช" หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง


             4. ภูเขาฟูจิ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

              ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko)หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
               นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้
               ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปี เป็นช่วงที่ภูเขาฟูจิเปิดอย่างเป็นทางการให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปปีน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ yokosojapan.org


               5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่งท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม


                6. โอซาก้า

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

                เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan

               แต่ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร "คุอุดะโอะเระ" ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยากิ


               7. ปราสาทฮิเมะจิ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด

               ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น

               อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน


               8. วัดโทไดจิ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือวิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)


               9. ฮอกไกโด
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม

               โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็นเมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้

               เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

               นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส

              10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               เมืองฟุระโนะ 
ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือนกันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคมของทุก
ปี

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

10 ทะเลของไทย

10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว


 10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            ช่วงนี้ถ้าเห็นคนอัพรูปไปเที่ยวทะเลบ่อย ๆ ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะก็เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว เหมาะเหลือเกินที่จะไปชิล ๆ ทะเลกัน และหากว่าคุณยังไม่รู้ว่าหน้าร้อนเที่ยวไหนดี หรือกำลังมองหาที่เที่ยวหน้าร้อน อย่างเช่น ทะเลหาดสวย น้ำใส ทรายสีขาวละเอียดล่ะก็ ขอบอกว่าแค่ออกไปเที่ยวทะเลในประเทศไทยบ้านเราก็ได้ทุกอย่างครบตามบรรยากาศทะเลเริ่ด ๆ ที่ว่านี้เลย แถมทะเลไทยของเรายังสวยเตะตาชาวต่างชาติ จนเว็บไซต์ touropia เขาถือโอกาสจัดอันดับ 10 ทะเลหาดสวยในไทยมาบอกต่อนักท่องเที่ยวทั่วโลกเลยทีเดียวจ้า ว่าแต่จะมีทะเลไทยที่ไหนสวยเด็ดจนต่างชาติพากันทึ่ง เอาเป็นว่าตามมาดูเลยดีกว่าเนอะ

 10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว

 1. หาดพระนาง จังหวัดกระบี่


             นับว่าเป็นหาดทรายที่มีความสวยงามติดอันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ ไฮไลท์ของหาดพระนางอยู่ที่ถ้ำพระนาง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานความรักเก่าแก่ที่เล่าขานกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมปีนเขา พร้อมด้วยครูฝึกสอนสำหรับนักปีนเขามือใหม่พ่วงมาด้วย ดื่มด่ำกับหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าใสแจ๋ว และธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ไว้ได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะเพราะที่นี่เป็นเกาะที่ต้องนั่งเรือเข้ามา จึงยังไม่โดนฝีมือมนุษย์ทำลายธรรมชาติเท่าหาดติดถนนอื่น ๆ

  10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว

 2. อ่าวมาหยา จังหวัดกระบี่

            อ่าวมาหยาตั้งอยู่บนเกาะพีพีเล ถือว่าเป็นทะเลที่สวยงามจับใจไม่แพ้ทะเลขึ้นชื่อที่อื่น ๆ ในโลก แต่เพิ่งมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เรียกนักท่องเที่ยวให้มาเยือนอ่าวมาหยาไม่ขาดสายก็ตอนที่กองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง เดอะ บีช (The Beach) แสดงนำโดยพระเอกหนุ่ม ลีโอนาโด ดิคาปริโอ ยกกองมาถ่ายทำฉากในหนังที่อ่าวมาหยาแห่งนี้ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบรรยากาศของสถานที่ที่ล้อมรอบไปด้วยเขาหินปูน ลักษณะอ่าวเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ น้ำทะเลสีเขียวมรกตสดใส กับหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์นุ่มเท้าด้วย ที่เรียกร้องให้นักท่องเที่ยวอยากมาสัมผัสบรรยากาศทะเลที่แสนงดงามแห่งนี้ด้วยตาตัวเอง

 10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว

 3. หาดทรายขาว จังหวัดตราด

           ด้วยหาดทรายที่มีความยาวกว่า 6 กิโลเมตร และเม็ดทรายที่ถูกพิสูจน์ด้วยสายตานักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล ว่าเป็นเม็ดทรายที่ขาวละเอียดกว่าหาดไหน ๆ บนเกาะช้าง จึงเป็นที่มาของชื่อ หาดทรายขาว จุดเล่นน้ำและนั่งชิลกับความสวยงามของท้องทะเลอีกจุดหนึ่งบนเกาะช้าง จังหวัดตราด ที่นี่ยังมีกิจกรรมหลากหลายให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกัน ทั้งเที่ยวป่า นั่งช้างชมธรรมชาติ ดำน้ำดูปะการัง หรือจะเล่นน้ำทะเลสีฟ้าใสแจ๋วบนหาดนี้ก็ตามสบาย แต่อาจจะต้องระวังนิดหน่อย เพราะระดับความตื้นลึกของน้ำทะเลบนหาดทรายขาวค่อนข้างต่างระดับกันค่ะ

 10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว
ภาพจาก surassawadee/shutterstock.com
 4. อ่าวประมง จังหวัดสตูล

           อ่าวประมง หรือ Sunset Beach เป็นส่วนหนึ่งของเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล เป็นเกาะขนาดเล็กที่มีความเงียบสงบ ไฮไลท์ของที่นี่ คือ เป็นจุดชมพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าที่ชัดเจนและสวยงามหาคำบรรยายไม่ได้ ส่วนบรรยากาศต้องบอกว่าเด็ดไม่แพ้กัน เพราะนอกเกาะจะถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาเขียวชอุ่ม ยังมีหาดทรายสีขาวยื่นออกไปเบา ๆ เปิดโอกาสให้เราไปยืนถ่ายรูปสวย ๆ ท่ามกลางน้ำทะเลสีฟ้าสดใสอีกด้วยจ้า

  10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว

 5. หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต

           แค่เอ่ยชื่อ หาดป่าตอง ทุกคนก็คงรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะมีหาดทรายขาวยาวกว่า 3.5 กิโลเมตร ก็ยังมีน้ำทะเลใสสะอาดให้ลงเล่นดับร้อนกันด้วย แถมนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบปาร์ตี้สุดเหวี่ยง หรือความบันเทิงที่ครบทุกรูปแบบ หาดป่าตองก็จัดให้คุณได้ไม่ขาดตกบกพร่อง หรือใครที่สนใจกิจกรรมแอดเวนเจอร์เบา ๆ อย่างเล่นสกี ดำน้ำ ก็มีไว้คอยบริการเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นหาดที่พร้อมสรรพไปด้วยความสะดวกสบายแห่งหนึ่งเลยล่ะ

 10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว

 6. เกาะนางยวน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

            ถ้าให้พูดถึงเกาะที่สวยอันดับต้น ๆ ของโลก ก็เชื่อว่า เกาะนางยวน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะมีชื่อติดโผกับเขาเหมือนกัน และแม้ว้าจะเป็นเกาะขนาดเล็ก แต่มีความพิเศษตรงที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะเล็ก ๆ ทั้งสามด้วยหาดทรายสีขาว มองดูเผิน ๆ เหมือนสะพานหาดทรายที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้มนุษย์อย่างเราทึ่งกับความงดงามเสียจริง ๆ นอกจากนี้ บนเกาะนางยวนยังมีจุดชมวิวสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกไว้คอยบริการด้วย ส่วนน้ำทะเลและหาดทรายคงไม่ต้องบรรยายหรอกเนอะ เพราะแค่พิสูจน์กันด้วยภาพก็อยากไปเยือนใจจะขาดแล้ว

  10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว

 7. หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

           ใครไม่อยากเดินทางไกลและมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา หัวหินก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่คุณจะได้สัมผัสบรรยากาศท้องทะเลกว้างขวางสุดสายตา ลมทะเลโชยชิล กับหาดทรายยาวกว่า 8 กิโลเมตร อีกทั้งหัวหินยังพิเศษตรงที่มีบรรยากาศ 2 สไตล์ ให้คุณได้สัมผัส ฟากหนึ่งเป็นทะเลและธรรมชาติสวยงาม อีกฟากหนึ่งเป็นวิถีชีวิตคนเมือง มีตลาดโต้รุ่งพร้อมของกินแสนอร่อยละลานตา ตึกรามบ้านช่อง โรงแรม รีสอร์ท ทุกระดับชั้นก็รอให้บริการคุณตลอด 24 ชั่วโมง จัดได้ว่าเป็นทะเลสวยใกล้กรุงเทพฯ ที่มีความสะดวกสบายที่สุดเลยก็ว่าได้

  10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว

 8. หาดละไม จังหวัดสุราษฎร์ธานี

           สำหรับคนที่อยากเที่ยวทะเลแบบสงบ สัมผัสบรรยากาศสบาย ๆ จากทะเลแบบเต็มอิ่มโดยไม่ต้องแก่งแย่งกับใคร หาดละไม บนเกาะสมุยก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย และแม้หาดละไมจะมีหาดทรายที่ไม่กว้างขวางมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นหาดที่สะอาดสะอ้าน เงียบสงบ น้ำทะเลก็เป็นสีฟ้าใส แถมยังมีกิจกรรมพายเรือคายัก เรือใบ ร้านอาหาร บาร์ ร้านค้า และที่พักไว้รองรับนักท่องเที่ยวอย่างพร้อมสรรพ หายห่วงเรื่องความสะดวกสบายไปได้เลยจ้า

 10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว

 9. หาดริ้น จังหวัดสุราษฎร์ธานี

           นักท่องเที่ยวรู้จักหาดริ้นเป็นอย่างดีในเรื่องสถานที่จัดงานฟูลมูน ปาร์ตี้ งานปาร์ตี้สุดเหวี่ยงของบรรดาวัยรุ่นและนักดื่มทุกท่าน แต่นอกจากจะเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ชื่อดังก้องโลกแล้ว หาดริ้นซึ่งตั้งอยู่บนเกาะพะงันยังมีทัศนียภาพที่สวยงาม ตัวหาดมีภูเขาแบ่งกั้นน้ำทะเลออกเป็นสองฟากฝั่ง มีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกในบริเวณเดียวกัน รวมทั้งบนหาดริ้นยังมีความบันเทิง ที่พัก และร้านค้ามากมายให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมอย่างเต็มอิ่ม สนุกสนานลืมเวลาบนหาดริ้นที่เปี่ยมเสน่ห์แห่งนี้ไปได้เลย

 10 ทะเลหาดสวยในไทย ที่เที่ยวหน้าร้อนไม่ไปไม่ได้แล้ว

 10. หาดทรายรี จังหวัดชุมพร

           หาดทรายรีเป็นส่วนหนึ่งของเกาะเต่า ทะเลขึ้นชื่อแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศไทย จุดเด่นของหาดทรายรีอยู่ที่หาดทรายสีขาวละเอียดตลอดระยะทางกว่า 1.6 กิโลเมตร น้ำทะเลสีฟ้าใส ริมชายหาดมีต้นมะพร้าวเพิ่มบรรยากาศทะเลให้ชีวิตชีวามากขึ้น อีกทั้งบนเกาะแห่งนี้ยังมีไนต์คลับและบาร์ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว หรือคนที่ชอบผจญภัยใต้น้ำ ทางเกาะเต่าก็มีบริการดำน้ำดูปะการังให้ร่วมเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวกันด้วย

           หน้าร้อนเที่ยวไหนดี...คำถามนี้คงมีคำตอบให้คุณเลือกจาก 10 ทะเลหาดสวยที่เราแนะนำกันไปบ้างแล้ว เพราะทั้งหมดก็น่าสนใจไม่เบา เอาเป็นว่าอย่าลืมออกเดินทางไปเที่ยวหน้าร้อนได้ง่าย ๆ ภายในประเทศไทยของเราด้วยนะคะ ถือโอกาสไปพักผ่อนและสัมผัสเสน่ห์เมืองไทยบ้านเราให้เต็มที่กันไปเลย ;